วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภาษาอังกฤษ สร้างอาชีพ สร้างรายได้

สานต่อภาษาอังกฤษ เพื่อ เสริมสร้างชีวิตที่ดีในอนาคต

สวัสดีค่ะ  ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน
      
ผู้เขียนมีความรู้ดีๆมาแบ่งปันค่ะ 
ก่อนอื่นเลย ผู้เขียนได้ทำการนั่งคิดนอนคิดมาเป็นเวลาหลายคืนเลยล่ะค่ะ ก่อนจะมาแบ่งปันความรู้ให้ทุกท่าน 

ผู้เขียนมีโจทย์ให้ทุกท่าน1ข้อค่ะ อยากให้ผู้อ่านได้นำไปสำรวจตนเอง
🏅 ทุกวันนี้ทุกท่านเรียนภาษาอังกฤษโดยที่มีเป้าหมายที่แตกต่างกันใช่ไหมคะ 

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
คำถามมีอยู่ว่า : มีผู้อ่านท่านใดที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสานต่อภาษาอังกฤษให้เป็นเงิน ไหมคะ 

หากท่านที่กำลังอ่านอยู่มีเป้าหมายเดียวกันกับที่ผู้เขียนกล่าวถึง ถ้าเป็นอย่างนั้นเรามาศึกษาอาชีพนี้ไปพร้อมๆกันนะคะ 

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านเคยได้ยินอาชีพ ไกด์ หรือ มัคคุเทศก์ โดยทั่วๆไปเราจะรู้ว่าอาชีพนี้ ข้อดีคือได้ท่องเที่ยวไปพร้อมๆกับนักท่องเที่ยว แต่เอ๊ะ!!อาชีพนี้มีดีกว่าที่คิดค่ะ ....

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
ใครชอบเที่ยวยกมือขึ้น! 
เรามารู้จักกับ : อาชีพมัคคุเทศก์ ( Guide)

การนำนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆพร้อมทั้งเราต้องบรรยายเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆไปด้วย เพราะนั่นคืองานหลักของไกด์ เราต้องมีความรู้ความเข้าใจในสถานที่ท่องเที่ยวอย่างละเอียดเพื่อที่จะได้อธิบายให้นักท่องเที่ยวได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน หากนักท่องเที่ยวมีข้อสงสัยเราสามารถตอบได้ทันที เพราะเรามีความรู้มาก่อน

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

พูดถึงงาน ก็ต้องพูดถึงเงิน ถูกไหมคะ


☑️ บอกได้คำเดียวว่า ไกด์ รายได้ปังมาก แบบ Superb!!!!เลยทีเดียว

มัคคุเทศก์จะได้รับรายได้รายวันโดยเฉลี่ยประมาณ 1,500 -3,000บาท และเป็นไปได้ที่จะได้รับค่าตอบแทน(ค่านายหน้าบริษัท)ถึง 100,000 บาทเลยทีเดียว 
     โอ้โห !! เงินเดือนก็ตกอยู่ อย่างต่ำประมาณ 45,000 บาท/เดือน
(ถ้าไม่รวมค่านายหน้า แหม่!ถ้ารวมค่านายหน้า รายได้จะขนาดไหนล่ะคะ..wow!)
➰รายได้งามค่ะ แถมได้เที่ยวไปในตัว เริศมากค๊าา 

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
✔️ คุณสมบัติของมัคคุเทศก์ (ไกด์)

1. มีความรู้ความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศ ที่สำคัญมากคือภาษาอังกฤษ แต่ถ้ามีภาษาที่สามเพิ่มมาเช่น จีน เราก็สามารถบริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้หลากหลายประเทศ
2.  มีภาวะความเป็นผู้นำที่มีทัศนคติดีต่อผู้อื่น
3.  รู้จักค้นคว้าหาความรู้อยู่ตลอดเวลา 
4.  มีไหวพริบปฏิภาณที่ดี แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
5.  ชอบท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ
6. ชอบพบปะกับผู้คนและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น
7. เป็นผู้มีความสามารถทางด้านการสื่อสารที่ดี 

        อย่ามัวรอช้า ตั้งเป้าแล้วลุย!!!!!!!

----------------◀️▶️---------------
           English makes money 
             แล้วพบกันใหม่นะคะ 


                                          สวัสดีค่ะ

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ไม่ยากถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษ

อยากเก่งภาษาอังกฤษ

How to be expert  in English .


🐸------🐸--------------🐸


สวัสดีค่ะ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่น่ารักทุกท่าน

🐸------🐸--------------🐸

            ในปัจจุบันเราจะสังเกตว่าภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามาก  ไม่ว่าจะเข้ามาในรูปแบบของ การศึกษา การติดต่อสื่อสาร และรูปแบบอื่นๆอีกมากมาย 
           ทุกท่านคะ   ในขณะนี้ประเทศไทยของเรานั้นได้เข้ามาเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียน แน่นอนค่ะว่า... ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกันที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ "ภาษาอังกฤษ "

ผู้เขียนทราบแล้วค่ะว่า ทุกท่านทราบดีว่าภาษาอังกฤษสำคัญมากจึงส่งผลให้หลายๆท่านอยากจะเรียนรู้ภาษาขึ้นมาทันที

เอ๊..แต่หลายๆคนก็มีคำถามขึ้นมาใช่ไหมคะ ว่า จะเริ่มต้นอย่างไร เมื่อมีคำถามย่อมมีคำตอบที่ดีที่สุดเสมอค่ะ

เรามาดูกันนะคะว่า ภาษาอังกฤษ เริ่มยังไงให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด

First Step 

A: คุณควรปรับทัศนคติที่มีต่อภาษาอังกฤษค่ะ

Q:ปรับอย่างไรล่ะครับพี่น้องครับ

A: เอาอย่างนี้แล้วกันนะคะ   หากเป็นนักเรียนที่กำลังอ่านอยู่ อยากให้เพื่อน พี่ๆน้องๆได้ลองนึกย้อนไปว่าเวลาที่เราเรียนภาษาอังกฤษ เราคิดอย่างไรกับมัน เราพยายามทำความเข้าใจแล้วหรือยัง. ถ้ายังนั่นแสดงให้เห็นว่าเรายังไม่ได้เปิดใจให้กับสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้
แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ค่ะ

ทุกอย่างประสบผลสำเร็จได้ต้องลงมือทำเท่านั้น!!

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
? เอ๊...แล้วแบบนี้ เราจะทำอย่างไรล่ะคะ

👄 ถามตัวเองค่ะ ว่า อยากเรียนรู้ในภาษาอังกฤษจริงๆหรือไม่ 
✔️ ถ้าใช่ สิ่งที่เราควรทำคือ......

🙋🏼 สำหรับนักเรียน

1. ทบทวนบทเรียนล่วงน่าก่อนเข้าเรียน
เพื่อ: ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

2. ตั้งใจเรียนในวิชาภาษาอังกฤษ  ทุกคำพูดของผู้สอนสำคัญค่ะ  ห้าม!ละเลยเด็ดขาด

3. เอาใจแลกความรู้ เปิดใจให้กว้าง โยนอคติทิ้งไปกับสายลม

4. พยายามอย่ามองว่าภาษาน่าเบื่อ หรือเมื่อไรจะหมดชั่วโมงสักทีนะ เพราะจะทำให้เราเกิดอคติต่อภาษาอังกฤษแล้วเป้าหมายเราก็จะไม่บรรลุผล


🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

คำแนะนำ

เราไม่ควรเรียนเพื่อทำเกรดเพียงอย่างเดียว  เกรดเป็นเพียงตัวเลขค่ะ  จริงค่ะ! ที่เกรดสามารถนำไปใช้ในการศึกษาต่อได้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ผู้คนชื่นชม  ผู้ปกครองเดินเข้าตลาดเช้าเย็น(...) นั่นเป็นสิ่งที่ดีค่ะ ท่านภูมิใจ แต่เอ๊...เราลืมคิดไปหรือปล่าวคะ  ว่าเรานำมาใช้ในชีวิตจริงได้หรือ      ปล่าว

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

การเอาตัวรอดในสังคม  

เราหนีไม่พ้นการสื่อสารค่ะ มนุษย์ย่อมมีการสื่อสารกัน ถ้าคุณสื่อสารได้นั่นล่ะค่ะถือว่าประสบผลสำเร็จไปแล้วครึ่งนึงแล้ว

💃สื่อสารได้ เราได้เพื่อนเป็นเรื่องของสังคม
💃นำมาสานต่อในการสร้างรายได้ เราได้อาชีพ ได้เงิน เลี้ยงชีพได้ ซึ่งมีอาชีพมากมาย

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

Hey 🚩ฉันมีใจรักในภาษามาก อยากสานต่อให้เชี่ยวชาญ

ว๊าว!!!นี่เป็นความต้องการที่ดีมากๆเลยค่ะ

เริ่มอย่างไรล่ะถ้าเริ่มนับ 0

จุ๊กกรู๊....เอาเคล็ดไม่ลับไปใช้กันเล๊ย
🔴--------------🔴-----------🔴

👂ทักษะการฟัง :  ฟังเพลงสากล  ดูภาพยนตร์soundtrack  ตั้งใจฟังชาวต่างชาติเวลาที่เขาพูด 

🔴--------------🔴-----------🔴

👄ทักษะการพูด : เราจะพูดได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น คำศัพท์(Vocabulary) 

การเรียงคำให้เป็นประโยค    การออกเสียง

โดยให้ท่าน เรียนรู้จาก การสะกดคำ  เมื่อสะกดถูกต้อง ท่านจะออกเสียงถูกต้อง
ต่อมา  เรียนรู้คำศัพท์ ทำได้หลายวิธีค่ะ
เช่น โหลดแอพ dictionary ค่ะ พบป้ายโฆษณาตามทาง มีคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ให้เราเกิดความสงสัยจากนั้น พิมเลยค่ะ ทำทันทีห้ามปล่อยทิ้งไว้ หรือการท่องศัพท์ การคัดศัพท์
  การเรียนรู้คำศัพท์เกิดจากความสงสัยค่ะ

ฝึกแต่งประโยคเพื่อปูพื้นฐานให้กับตนเอง จากง่ายไปหายาก เริ่มจากบทสนทนาง่ายๆก็ได้ค่ะ 

ขั้นสุดท้าย ความกล้าเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณพูดเป็น

ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยตลอดเวลา เราจะใกล้ชิดกับพวกเขามากที่สุดก็คือที่โรงเรียน โดย  ครูชาวต่างชาติที่โรงเรียนใช่ไหมคะ นั่นล่ะค่ะ ผู้ช่วยคุณ

อย่าอายที่จะสื่อสารกับชาวต่างชาติ ความอายในสิ่งที่ดีไม่ได้ทำให้เราหาเลี้ยงชีพได้นะคะ พูดไปเลยค่ะ ถึงเราจะพูดไม่คล่องแต่เรากล้าลองผิดลองถูกนั้นล่ะคะ  จุดเริ่มต้นของความเชี่ยวชาญ ไม่มีใครเชี่ยวชาญได้ถ้าไม่รู้จักความผิดพลาด 

🔴--------------🔴-----------🔴

📕ทักษะการอ่าน :   เริ่มจากคำศัพท์ผ่านทาง หนังสือนิทาน  นิยาย  บทความ  ข่าวต่างประเทศ ช่วยเราได้ค่ะ

🔴--------------🔴-----------🔴

✏️ทักษะการเขียน : เมื่อเรามีทักษะการอ่าน การเขียนก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปค่ะ

 🔴--------------🔴-----------🔴

ภาษาอังกฤษที่หลายคนบอกว่าย๊ากยาก  จะง่ายมาก ถ้าผู้เรียนมีใจรัก มีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งนั้น       มีความตั้งใจอย่างจริงจัง

🔴--------------🔴-----------🔴

English will be easier if you guys pay attention to it.
ภาษาอังกฤษจะง่ายขึ้นถ้าคุณให้ความสนใจกับมัน.
🔴--------------🔴-----------🔴

สำหรับ ณ  เวลานี้ก็ขอนำเคล็ดไม่ลับ มาแบ่งปันทุกท่านเท่านี้ก่อนนะคะ แล้วพบกันใหม่ในโอกาสน่าค่ะ

สวัสดีค่ะ

👏🏻👏🏻👏🏻👏🏻----------👏🏻👏🏻👏🏻👏🏻







วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Adjective คำคุณศัพท์

Knowledge is very important

 ความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก


สวีดัด สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน

        ตื่นเต้นไหมคะกับบทเรียนเรื่องต่อไป ... เอ๊ะ!  ต้องตื่นเต้นแน่ๆเลย พร้อมหรือยังพร้อมหรือยังคนดี พร้อมแล้วค่ะพร้อมแล้วค่ะคนสวย😜 แอร๊ยยยย ผู้เขียนมีกำลังใจมากๆเลยค่ะ บึ้ยยยย์.. กลับถ้ำด่วน เรามาเข้าเรื่องของเรากันเลยนะคะ อย่าโม้ๆ ฮ่าๆๆ
เรื่องนี้มีชื่อว่า ..... แทแดแดแด้ม....

จ๊ะเอ๋! คุณคะคุณ คุณนะเป็นคนสับ ฉันไม่สับนะเมื่อยมือ ตึ่งโป๊ะ!!! ตึ่งตึ่งโป๊ะตึ่งตึ่ง   เฮ้.


Q: คุณนะ..สับ คืออะไร  (ให้ฉันสับหรอ)
A: อ้าว!! คุณศัพท์ ไง รู้จักป่าว
Q : อ๋อ!นี่มุกหรือเปลือกทุเรียน
A: เย้ย!วุ้นมะพร้าวน่ะ 
Q: พอเหอะ อยากรู้จักมันแล้วว่ามันเป็นยังไง
A: นั่งสมาธิก่อน ลุย!!! 

🏅🏅🏅🏅------------🏅🏅🏅🏅

🚩Step 1      เข้าใจความหมายของคำคุณศัพท์ ( Adjective) 

🎬 ฉึบ!! เริ่ม

✏️คำบอกลักษณะ 
🔹 beautiful (สวย) , ugly (ขี้เหร่) , etc.

✏️คำบอกรูปร่าง
🔹 tall (สูง) , short (เตี้ย) , fat (อ้วน) , thin (ผอม) , long (ยาว) , etc.

✏️ สีต่างๆ
🔹 black (สีดำ) , purple (สีม่วง) , pink (สีชมพู) , brown (สีน้ำตาล) , blond (สีบลอนด์) , etc.


Trick :
light  + สี = สีอ่อน
Example : light green =สีเขียวอ่อน

Dark + สี = สีเข้ม
Example : dark green =สีเขียวเข้ม

✏️คำบอกลักษณะของผม 
🔹straight (เหยียดตรง) , weavy (หยักโศก) , curly (ผมหยิก) , etc.

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

🚩 Step 2  คำศัพท์เพิ่มเติมของ  Adjective 
เราลองมารู้จักกับคำคุณศัพท์อื่นๆนะคะ แล้วก็save ไว้ในMemory ไว้เล๊ย!!

Comfortable  คัม  - เฟิท-เทอ-เบิล   
= สบาย

Convenient   คัน-วี-เนี่ยน  = สะดวก

Handsome  แฮน-ซั่ม  = หล่อ (อุ๊ย!คนหล่อ)

effective     อิ-เฟค-ทีฟ  = มีประสิทธิภาพ

attractive   อะ - แทรค -ทีฟ   = น่าดึงดูดใจ

available   อะ-ไว-เล-เบิล    = ว่าง

Valuable   แวล - ลิว - อะ -เบิล   = มีคุณค่า

responsible   ริส-สะ-ปอน-ซิ-เบิล     = รับผิดชอบ

responsive   ริส - ปอน - ซีฟ   = ที่ตอบสนอง

ให้ผู้ที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้ สังเกตแต่ละคำมักจะลงท้ายด้วยคำว่าอะไรคะ?

เราสังเกตเห็นอะไรเอ่ย

-ble   -ient   -tive     -sive 

เมื่อคำที่ลงท้ายด้วยตัวอักษรเหล่านี้ ให้จำไว้เสมอว่า นั่นคือ Adj. (คำคุณศัพท์) นะคะคนเก่ง.

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

 🚩Step 3   ใช้ให้เป็น
หลักการแสนจะง่าย ใครๆก็ทำได้ถ้าตั้งใจนะคะ

Q: เรารู้หรือไม่ว่า เราจะใช้Adj.เมื่อไร?
A:ไม่รู้ค่ะ
A:ช่วยยกตัวอย่างหน่อยได้ไหมคะ 
Q: ได้สิ่จ๊ะ

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

 🚩Step 4        การวางตำแหน่งของ Adjective 

หลัง คำนาม (N.)

Example: The white  jacket .
เสื้อแจ๊คเก็ตสีขาว
Example: Wilai is a beautiful woman.
วิภาเป็นผู้หญิงที่สวย.

หลัง V.to be เราเรียกว่า " linking verb "

Example: Wat phra Kaew is an attractive temple.
วัดพระแก้วเป็นวัดที่น่าดึงดูดใจ

  • Example: Miw is polite girl.
หมิวเป็นผู้หญิงที่สุภาพ

หลัง pronoun ไม่ชี้เฉพาะ

(Something   everyone   anyone etc.)

Example: something important 
บางอย่างที่สำคัญ

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

สรุปไม้ตาย !!!!!! 

  • Adjective แปลว่า คำคุณศัพท์
  • มักจะลงท้ายด้วย -ble -ful -sive -tive -ient 
  • หมายถึง คำที่ใช้บอกลักษณะ รูปร่าง สี เป็นต้น 
  • ใช้ขยายคำนามทำได้โดยการ Adj. + N.
  • วางหลัง V.to be 
  • วางหลัง Pronoun ไม่ชี้เฉพาะ


🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

ฮึบ ! ผู้เขียนมีคำถามนะคะ ว่า ผู้อ่านเข้าใจไหมคะ ถ้าเข้าใจแล้ว อย่าลืมทบทวนบ่อยๆนะคะ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ตั้งใจและเริ่มใหม่อีกรอบค่ะ



💥🔗📮  Never stop to learn English



วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Verb คำกริยา

You will never walk alone.

สวัสดีค่ะ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน

Part of Speech ผ่านไปแล้ว  2  ประเภท เรามาต่อกันที่  ประเภทที่  3 กันเลยนะคะ  นั่นก็คือ Verb เอ๊ๆ...อะไรนะ Verb 🦁 คุ้นๆจังเลย VERB คืออะไร บอกได้ไหม ใครจำได้^^


🐝 V E R B  🐝

👉🏻 คำกริยา

?????แล้วคำกริยาคืออะไรอีกละพี่น้องครับ? 😒

👉🏻คำที่แสดงอาการต่างๆ

?????ยกตัวอย่างให้ดูหน่อย ยัง  งง  อยู่ 😂

👉🏻 eat (กิน) , sleep (นอน) , etc.


อ๋อ!!!เก็ตละ ยิปปี้ มามี้โปโกะ เอิ๊กๆง่ายจังเลย 

   Verb โดยทั่วไปแบ่งได้ 2 ประเภท 



1.Finite verb ( กริยาแท้)
---------------🎉---------------
แท้ยังไงอีกล่ะ ย๊ะหล่อน แท้แบบไม่มีสารเจือปนป่าว ฮ่าๆ

แหม่ !! ทำเป็น งง เอ้า เข้าเรื่องกันต่อ


🎉🎉🎉---------🔷--------🎉🎉🎉

🎈 1 . ผันตามประธาน(เอกพจน์/พหูพจน์)

ประธานพหูพจน์[ I , you , we , they] 

verb ไม่ต้องเติมอะไรทั้งสิ้น 

Example:want to go to the zoo
ฉันอยากไปสวนสัตว์ (เอาล่ะครับพี่น้อง อยากกลับบ้านเกิด ฮ่าๆ )


ประธานเอกพจน์  [ he,she,it] verb ต้องเติม s,es ตามหลักการเปลี่ยนverb

Example: She wants  to go to the Zoo.
หล่อนอยากไปสวนสัตว์


🎉🎉🎉---------🔷--------🎉🎉🎉


🎈 2. ผันตาม Tense 

Present Simple Tense 

Example: want to go to the temple.

Past Simple Tense

Example: wanted to go to  the temple .

ยังเหลืออีก 10Tense
2Tenseนี้เป็นเพียงตัวอย่างให้พอเข้าใจนะคะ
Want และ wanted ต่างก็เป็นกริยาแท้ทั้งสิ้นเพราะผันตาม Tense 


🎉🎉🎉---------🔷--------🎉🎉🎉

🎈3. ผันตาม Voice 

Active Voice 

Example: Justin writing the essay.

Passive Voice

Example: The essay being written by Justin

เราต้องสังเกตถ้าอยู่ในรูป Active Voice /  Passive voice ถือว่ากริยานั้นเป็นกริยาแท้ ในตัวอย่างก็คือคำว่าwriting   written 




2.Non - Finite Verb (กริยาไม่แท้)

❗️ไม่ผันตาม S / Tense / Voice 

ไม่แท้ก็แปลว่าปลอมใช่ปล่าว ฮ่าๆ

น้อง ทู    ปิ้ง    แอปเปิล 
        to   ing  Participle 


🎉🎉🎉---------🔷--------🎉🎉🎉

🎈 1 . Infinitive [ to + V.1 ]

ก็คือ คำว่า to + กริยาช่องที่1 เท่านั้น ย้ำ!!ว่าต้องเป็นคำกริยาเท่านั้น

ห้ามเป็นNounหรืออย่างอื่นเด็ดขาด

✔️ to see , to forgive,to sleep, etc.
to school , to my house (ไม่ใช่Infinitive❗️)


Example: I want to buy a dress.
ฉันอยากจะซื้อชุด(จัง)


🎉🎉🎉---------🔷--------🎉🎉🎉

🎈 2 . Gerund ( กริยานาม)    

V.1 + ing  เช่น eating, going,sleeping, etc.

Example;  They are enjoy playing tennis.
พวกเขากำลังสนุกสนามกับการเล่นเทนนิส

Example; Sleeping is necessary for human.
การนอนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์


🎉🎉🎉---------🔷--------🎉🎉🎉

🎈 3 .Participle 

3.1 Present participle (V-ing) 


Example: The teacher is teaching the students .
คุณครูกำลังสอนนักเรียน

Example: They are teaching the students  .
พวกเขากำลังสอนหนังสือนักเรียน

Example: We were teaching the students  yesterday.
พวกเราได้สอนสอนหนังสือนักเรียนอยู่เมื่อวานนี้


is , are  ,were เป็นกริยาแท้(Finite Verb)

แต่คำว่า teaching  ไม่เปลี่ยนไม่ผัน  มันคงรูปเหมือนเดิมทุกประโยค ดังนั้นคำนี้จัดเป็น 
Non-Finite Verb 


🎉🎉🎉---------🔷--------🎉🎉🎉


3.2 Past Participle นั่นก็คือ V.3 ( กริยาช่องที่ 3) 
แบ่งได้ดังนี้


คุณศัพท์ประกอบหน้าคำนาม

Example: The broken glass .
แก้วที่แตกแล้ว (คำนามคือ แก้ว)

ตามหลัง v.to be 

Example: I am called .ฉันถูกเรียกตัว

ตามหลัง v.to have 

Example: I have never seen this temple before.
ฉันไม่เคยเห็นวัดแห่งนี้มาก่อนเลย




จิ๊บๆ หลายๆคนคงจะต้องเอ่ยเป็นทางเดียวกันว่า "ง่ายจังเลย" "อ่านแป๊บเดียวก็เข้าใจแล้ว" ใช่ไหมคะ .... คำกริยา(Verb) เป็นสิ่งที่เราควรรู้จักเพราะส่วนประกอบของประโยคต้องมีคำกริยา

เช่น  I eat rice ฉันกินข้าว
ถ้าไม่มีคำว่า eat  เราจะไม่ทราบเลยว่าประโยคนี้จะสื่ออะไร .... 

Done!!!! 

อย่าลืมทบทวนนะคะ คุณจะต้องเก่งภาษาอังกฤษแบบ expert แน่ๆ 
แล้วกลับมาพบกันใหม่ค่ะ


🎈🎈🎈🎈สวัสดีค่ะ🎈🎈🎈🎈
Do not give up!! แปลว่า อย่ายอมแพ้ 
ตึ่งโป๊ะ!แยก😄










วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Pronoun คำสรรพนาม

You must lost your fear of being wrong in order to live a creative life.
คุณต้องละทิ้งความกลัวที่จะผิดพลาดเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์.

สวัสดีค่ะ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน

เรามาลุยกันต่อกับ Part of speech  ชนิดที่ 2  กันเล๊ย...นั่นก็คือ  Pronoun

Pronoun คืออะไร?

เอ๊ะ!!! คืออะไรเอ่ย  บอกได้ไหม ใครจำได้ ช่วยฉันที
แทแดแดม.....นั่นก็คือ คำสรรพนาม นั่งเอง

แบ่งได้เป็น 7 ประเภท

ตั้งใจให้ดีนะคะ สู้ๆค่ะ

💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥

1.Personal   Pronoun


ทำหน้าที่ :

🎉Subject (ประธาน)

 " I , you , we , they , he , she , it "

Example:    He is eating mango with him. เขากำลังกินมะม่วง

Example:    Mike  is going to go to the police station.
ไมค์(แทน he)  กำลังจะไปสถานีตำรวจ

🎉Object (กรรม)

  "me , you , us , them, him , her, "

Example:   He is eating mango with him
Example:   Kim  is walking along the street with us .

💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥

2.Possessive   Pronoun

ทำหน้าที่ :

🎉 แสดงความเป็นเจ้าของ

 " mine , yours, hers , his , ours, their "

Example :  This bag is mine. กระเป๋าใบนี่เป็นของฉัน

Example :  Those toys are theirs.
เหล่านั้นคือของเล่นของพวกเขา

💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥

3.Reflexive    Pronoun

ทำหน้าที่ :

🎉ประโยคเน้นตัวเอง

 " myself ,    yourself  ใช้ในกรณีที่มีคนเดียว 

  herself  ,  himself, ourselves ,themselves 

yourselves  ใช้ในกรณีที่เป็นคุณหลายคน

Example : He does his  report by himself. เขาทำรายงานด้วยตัวเขาเอง

Example: They  sometimes cook dinner by themselves.
 เขาทำอาหารเย็นก้วยตัวของพวกเขาเองในบางครั้ง

💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥

4.Definite  Pronoun

ทำหน้าที่ :

🎉เป็นสรรพนามชี้เฉพาะ

 " This , That , These , Those, One , Ones
Example: This book is very useful.
หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มาก

Example: David doesn't like that kind of food.
เดวิดไม่ชอบอาหารประเภทนั้น.

💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥

5.Indefinite   Pronoun

ทำหน้าที่:

🎉 สรรพนามไม่ชี้เฉพาะ

 " everybody , someone ,something, anything, no one, none."

Example:  Everybody is standing in front of the post office.
ทุกๆคนกำลังยืนอยู่หน้าที่ทำการไปรษณีย์

Example: I don't want  anything from this shop .
ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นในร้านแห่งนี้

💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥

6.Interrogative  Pronoun

ทำหน้าที่ :

🎉 คำถาม

" what , who , whom ,whose ,which."

Example : what is your favorite food? คุณชอบอาหารอะไรมากที่สุด

Example: who are you going to go with tomorrow?
พรุ่งนี้คุณจะไปกับใคร

เป็นคำถาม มี ? เสมอ

💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥

7.Relative  Pronoun

ทำหน้าที่ :

🎉 เชื่อมความ (ที่,ซึ่ง,...)

" who , whom, whose ,where,which ,that, when"

Example: A man who is sitting beside you is my husband.
ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆคุณคือสามีของฉัน(เอาแล้วไง...งานเข้า อิอิ ฮ่าๆ)

Example: The hospital where you were born is in my hometown.
โรงพยาบาลที่คุณเกิดมันอยู่ที่บ้านเกิดของฉัน


--------------------------------------

who  ใช้กับคน ที่เป็นผู้กระทำ เช่น ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ทำอาหารอร่อย ผู้ชายเป็นคนทำ

whom ใช้กับคน ที่เป็นผู้ถูกกระทำ เช่น ผู้ชายคนที่คุณเจอเมื่อวานหล่อมาก ผู้ชายถูกเจอ

Whose ใช้กับคน ซึ่งใช้ในกรณี แสดงความเป็นเจ้าของ

whereใช้กับสถานที่

which  ใช้กับสิ่งของ

that ใช้กับสิ่งของ

when ใช้กับเวลา

เป็นคำที่ใช้เชื่อมประโยคให้เข้ากัน


💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥💥

Wow!!!เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคน สนุกไหมคะ แหม่..ไม่ยากเลยใช่ไหมเห็นไหมคะว่า ถ้าเราตั้งใจเราจะเข้าใจ สู้ๆนะคะ จบไปแล้วสำหรับ Part of Speech ประเภทที่2 Pronoun หรือ คำสรรพนาม
 แล้วพบกันใหม่นะคะ

🌍สวัสดีค่ะ.🌍

......Never stop learning ......

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Noun คำนาม

Time and tide  waits for no man.
กาลเวลาไม่เคยคอยใคร.

สวัสดีค่ะ.ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีสตรีที่น่ารักทุกท่าน

การเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีที่สุดเราควรรู้ที่มาที่ไปของแต่ละบทเรียน และเราควรเรียนรู้ให้ต่อเนื่องกัน. ทุกท่านคะ มีใครเคยได้ยินคำว่า Part of speech ไหมคะ เอ๊ะ!คุ้นๆใช่ไหมคะ แน่นอนค่ะเพราะเราเรียนมาแล้วตั้งแต่สมัยเด็กๆ ฝ. งั้นได้เวลาแล้วที่เราจะมารื้อฟื้นอดีต  เริ่มต้นด้วย" Noun " = คำนาม

🎉 Let's learn about Noun together.

☘   NOUN คำนาม   ☘

⭕️ คำนาม คือ คำที่ใช้เรียก คน สัตว์ สิ่งของ  สถานที่


เรามารู้จักกับคำนามแต่ละชนิดกันนะคะ

1.Common Nouns  คำนามทั่วไป

คำว่า Common แปลว่า" ทั่วไป"

🔷นามไม่เฉพาะเจาะจง

Example:
 Boy, Book ,television,tree, cat , hippopotamus, dog,School,hospital,hotel,teacher,farmer,etc.

🔷มีความหมายโดยรวม ไม่ได้กล่าวถึงอันนี้อันนั้น

Example:

The boy  [ผู้ชาย: ไม่รู้คนไหน?ผู้ชายคนไหน? ]
 Book      [ หนังสือ: เล่มไหนละคะ? ไม่ทราบชื่อ]

จำง่ายๆว่าถ้าไม่มีชื่อบอกเป็นคำทั่วไป เรียกว่า Common noun

🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈

2.Proper Nouns คำนามเฉพาะเจาะจง

🔷เจาะจง แปลว่า ไปชี้น่าได้เลยว่าเป็นคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้!

Example:

Thailand   (ชื่อประเทศ),
 Somsri     (ชื่อคน)
Chiang Rai   (ชื่อจังหวัด)
Cambridge   (ชื่อมหาลัย)
Samsung / Oppo     (ยีห้อสินค้า)
Sahara dessert     (ชื่อทะเลทราย)

จำง่ายๆว่าถ้ามีชื่อบอก จะเรียกว่า Proper Noun.

🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈

3.Abstract Noun นามธรรม

หรือ เป็นที่คุ้นชินกับคำว่า "อาการนาม"

Courage ความกล้าหาญ
Affection ความรัก
Education การศึกษา
Richness ความร่ำรวย

คำนามชนิดนี้หากเราสักเกตดีๆ จะพบว่า มักจะลงท้ายด้วย   tion ness

🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈

4.Collective noun นามหมวดหมู่

หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ชื่อของหมู่คณะ"

 Class ชั้น แบ่งเป็น3ชั้น
Team ทีม แบ่งเป็น2ทีม
Herd ฝูง แบ่งสัตว์ออกเป็นฝูง
Cluster กลุ่มใช้กับดาวเป็นกลุ่มเป็นกระจุก

เป็นคำที่มักลงท้ายประโยคที่บอกจำนวนเช่น วัว1ฝูง
นักกีฬา4ทีม

🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈

เอาล่ะค่ะ ... นอกจากคำนาม4ประเภทนี้แล้ว ยีงุมีคำนามประเภทอื่นๆอีกนะคะ ที่ยกมาคือประเภทที่สำคัญๆค่ะ

คำนาม ยัง แบ่งออกได้อีก2ประเภท

1.นามนับได้( Countable Noun)

👁‍🗨ต้องเติม s,es เมื่อเป็นพหูพจน์(Plural )

Banana ---- Bananas
house------houses
Book ------ Books
Student----students


👁‍🗨สามารถมีArticle ได้ นั่นก็คือ a,an
a cat , an apple, an elephant, a boy

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

2.นามนับไม่ได้ uncountable Noun

👁‍🗨ห้ามเติม s,es เด็ดขาด! ถึงจะมีมากก็ตาม

👁‍🗨มีรูปเดียวคือ เอกพจน์
👁‍🗨หากต้องการเปลี่ยนจากมี
1--->มากว่านั้น
 ให้ใช้คำบอกปริมาณแทน

Example: 
Five cups of tea
ชา5แก้ว

👉🏻เราจะไม่เติมs,es ที่น้ำชา เพราะมันนับไม่ได้

Example:
Soap (สบู่) ,furniture (เฟอร์นิเจอร์), beef (เนื้อวัว) , pork(เนื้อหมู) , mutton(เนื้อแกะ) , wood(ไม้แปรรูป) , cloth(ผ้า) , paper ,water, bread , milk ,sugar , etc.

🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻

Function of noun (หน้าที่ของคำนาม)


1.Subject   (ประธาน) / (object)


2.Direct object  (กรรมตรง)
- ใช้กับ สิ่งของเท่านั้น

Example:  She give me a book.
หล่อนให้หนังสือกับฉัน.

3.Indirect object   (กรรมรอง)
-ใช้กับคนเท่านั้น

Example:   She give me a book.

โครงสร้างประโยคประกอบด้วย

S+V+O

แต่ Verb คือ คำว่า give
👉🏻อยู่หลังVerb เป็นคน > indirect object [me]
👉🏻อยู่หลังVerb เป็นสิ่งของ > direct object [book]

4.Complement   (ส่วนขยาย)

มักจะตามหลัง V.to be  (is , am ,are)

Example: I am a teacher.
ฉันเป็นคุณครู
ถ้า I am ..... ฉันเป็น...เราจะรู้ไหมเอ่ยว่าเป็นอะไร?ไม่รู้แน่นอนค่ะ
ดังนั้นเราจึงต้องมี Complement (ส่วนขยาย)นั้นเอง

5.Object of a preposition  (กรรมของบุพบท)

Example: 

1. Jack thinks of his mother when he leaves the house.
แจ๊คคิดถึงคุณแม่เมื่อเขาออกจากบ้าน

Preposition = of
คำว่า his mother เป็น Noun และทำหน้าที่เป็น กรรม ของคำว่า" of "

2. Pam has waited for him for a long time.
แพมได้รอเขามานานแล้ว.

Preposition = for
คำว่า him เป็น Noun และทำหน้าที่เป็น กรรม ของคำว่า "for"

🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈



วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Conditional Sentence

Where there's a will there's a way

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น


สวัสดีค่ะ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน.
เรามาเรียนรู้กับบทเรียนต่อไปเลยนะคะ นั่นก็คือ Conditional Sentence หรือ เราอาจจะคุ้นเคยในชื่อ If- Clause นั่นเอง


Conditional Sentence ?


🎉 ประโยคเงื่อนไข "การคาดการขึ้นมาว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นก็จะมีสิ่งนั่นเกิดขึ้นมาตาม"

แบ่งได้2ส่วน คือ

1.  If - clause--> ตั้งแต่คำว่า if
2. Main Clause-->ส่วนที่เหลือ(ประโยคหลัก)

Ready set go.!!!!! [เข้าที่ ระวัง ไป!!!]

🌺🌺🌺.......................🌺🌺🌺



ขั้นที่ 1 : ประโยคที่เป็นจริงเสมอ



โครงสร้าง : If + Present, Present

Example: If ice cream touches the sun,it melts
ถ้าไอศกรีมสัมผัสกับแดด,มันก็จะละลาย

 Example: If you hit the babies ,they cry .
ถ้าคุณตีเด็กทารก,เขาก็จะร้องไห้

Example: If the papaya is ripe ,It becomes yellow.
ถ้ามะละกอสุกแล้ว,มันก็จะเป็นสีเหลือง.

สรุป first Conditional (ขั้นที่1)

👉🏻ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ

👉🏻ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

👉🏻เป็นไปตามธรรมชาติ

🔹ตัวอย่างบอกว่า

ไอศกรีมละลาย ( ไอศกรีมละลายเป็นเรื่องธรรมชาติ)

ตีเด็กทารกแล้วร้องไห้ (ตีแล้วไม่ร้องนี้Amazing King Kong มากค่ะ)

มะละกอสุกจะมีสีเหลือง (มะละกอของใครสุกแล้วสีชมพู เย้ย!!!คงไม่มีนะคะ มันเป็นไปตามธรรมชาติ)

☘............☘..............☘...........☘


ขั้นที่2 : ประโยคที่เป็นไปได้ในปัจจุบันและอนาคต

โครงสร้าง: If + Present Simple,Future Simple

Example: If you study hard,you will be smart.
ถ้าเธอตั้งใจเรียน,เธอจะเรียนเก่ง

Example: If she reads a lot , she'll be expert.
ถ้าหล่อนอ่านหนังสือมากๆ,หล่อนจะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ.

Example: If he practices Basketball everyday, he'll be strong
ถ้าเขาเล่นบาสเกตบอลทุกวัน,เขาจะแข็งแรง

สรุป : Second Conditional (ขั้นที่ 2)

👉🏻ใช้สำหรับประโยคที่เป็นไปได้ในปัจจุบันและอนาคต

👉🏻 สามารถเปลี่ยนแปลงได้

👉🏻กล่าวถึงการคาดหวังขณะนั้นหรือคาดไปในอนาคตว่าถ้าทำแบบนี้จะต้องได้แบบนี้

🔹ตัวอย่างบอกว่า

ตั้งใจเรียนจะเรียนเก่ง
-ขณะนั้นเราคาดหวังว่าถ้าเราตั้งใจตอนนี้เราจะเก่งและส่งผลต่ออนาคตด้วย

อ่านหนังสือมากจะเชี่ยวชาญ
-จริงไหมล่ะอ่านมากก็ย่อมรู้มาก ขณะนั้นคาดไว้ ..ขณะที่เราทำก็ย่อมรู้มากแล้วส่งผลไปยังอนาคตอีกก็ย่อมรู้มากขึ้นเรื่อยๆ

ซ้อมบาสเกตบอลทุกวันจะแข็งแรง
-จริงไหมล่ะถ้าเราซ้อมทุกวัน มันจะทำให้เราอ่อนแอลงหรือป่าว ก็คงไม่นะคะ


☘............☘..............☘...........☘


ขั้นที่ 3 : ประโยคที่เป็นไปไม่ได้ (สมมติขึ้น)

โครงสร้าง : If + Past Simple, would + V.1

Example: If I  were a kid  , I would do that.
ถ้าฉันเป็นเด็กอยู่ฉันจะทำแบบนั้น

Example: If   Pranee  was a cat , She would be very  happy.
ถ้าสมมติปราณีเป็นแมว,หล่อนจะมีความสุขมาก

Example: If all of Thai population  were  expert in Mathematics , It would be very good.
ถ้าคนไทยทุกคนเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์,มันจะดีมากๆเลย

สรุป : Third Conditional (ขั้นที่ 3)

👉🏻 ใช้สำหรับเหตุการณ์ที่มันเป็นไปไม่ได้

👉🏻สมมติขึ้นเอง ( ถ้าฉันสวยฉันจะเป็นชมพู่ อารยา -3- เอิ่ม..ได้ไหมนั่นน่ะ เป็นไปไม่ได้. ฮ่าๆ)

🔹ตัวอย่างบอกว่า

ถ้าฉันเป็นเด็กอยู่จะทำแบบนั้น
-ในชีวิตเรามันย้อนได้ไหมคะ? ไม่ได้แน่นอน)

ถ้าเป็นแมวจะมีความสุข
-เอ้า !! มนุษย์อะไรจะเป็นแมว งงไหมละ ไม่ได้นะคะ

ถ้าคนไทยทุกคนเชี่ยวชาญทางด้านคณิตศาสตร์ จะดีมากๆ
-เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเชี่ยวชาญในด้านเดียวกันทุกคน

☘............☘..............☘...........☘


ขั้นที่ 4 : ประโยคที่ตรงกันข้ามกับความจริงในอดีต

โครงสร้าง: If + Past Perfect, would have +V.3


Example: If    Nim   had   learned English , She would have worked in USA.
ถ้านิ่มเรียนภาษาอังกฤษมา เขาจะได้ทำงานที่อเมริกา(คือว่า ..ณ ตอนนี้นางไม่ได้เรียนมาไงประเด็น เลยไม่ได้ไปทำที่นั่น)

Example: If Julia had been good manners,Martin wouldn't have abandoned her.
ถ้าจูเลียนิสัยดี,มาตินก็คงจะไม่ละทิ้งเธอไปไหน. (สายไปซะละ)

Example: If Kanda had been confident,She would have won the competition.
ถ้ากานดามีความมั่นใจ,เธอก็คงจะชนะการแข่งขัน (ผ่านมาแล้วกลับไปแก้ไม่ได้นะคะ)

สรุป fourth Conditional (ขั้นที่4)

👉🏻ใช้กับเรื่องที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้น

👉🏻กลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว สายไปซะแล้ว

👉🏻ทำได้แค่นึกถึงแต่ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ )

☘............☘..............☘...........☘

การสลับตำแหน่ง เอา Main clause มาไว้หน้า , If- clause ไว้หลัง

🎉ไม่ต้องใส่ comma (,)

🎉เรียงโครงสร้างปกติ  สลับแค่ประโยค

Example:   If I  were a kid  , I would do that.

สลับ:   I would do that if I were a kid

🐾โครงสร้างของแต่ละTenseเหมือนเดิม
🐾จะสลับก็ยกมาทั้งTense อย่าหลงพวก อิอิ
🐾if คั่นกลางตัวพิมพ์เล็กเสมอ No comma.

☂.................☂...............☂......☂

The end

การละคำว่า if

ขั้นที่ 2 : Should + Subject
ขั้นที่ 3 :Were  + Subject
ขั้นที่ 4  : Had + subject

Example:

Should you study hard,you will be smart.

Were I a kid, I would do that

Had  Kanda  been confident,She would have won the competition.

👉🏻ตัดคำว่า If ออก แล้วใส่คำเหล่านี้แทน

👉🏻ใช้คำไหนแทน ให้ดูตามโครงสร้างของประโยค


☂.................☂...............☂......☂
เหนื่อยไหมคะ .. เอาแบบนี้ดีกว่า ถ้าเราไม่เข้าใจให้เราลองอ่านวนไปอีกสักครั้งนะคะ หากไม่เข้าใจห้ามข้ามเด็ดขาด จัดการให้เด็ดขาดไปเล๊ย!!😊

☂.................☂...............☂......☂
แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทเรียนต่อไปนะคะ. สวัสดีค่ะ.

          LOVE    ENGLISH   FOREVER


วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Reported Speech

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉


ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว.


สวัสดีค่ะ.ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่น่ารักทุกคน

ห่างหายกันไปนานเลยทีเดียว คิดถึงบทเรียนสนุกๆกันแล้วใช่ไหมคะ
อ๊ะอ๊ะ...พร้อมหรือยังคะ? จากการสำรวจพบว่า บทเรียนต่อไปนี้เป็นเรื่องที่หลายๆคนมีปัญหา สับสนและไม่เข้าใจ เดี๋ยวเราจะมากำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หายไปในพริบตาเลยนะคะ. What  is  it?  It's ......


Reported Speech 🤗


Are You Ready?

Let's go!!!

🍄What's Reported Speech?

🍄Reported Speech คืออะไร?

 คำตอบ: เป็นประโยคที่นำคำพูดของผู้อื่นไปเล่าต่อนั่นเอง

🔷 ประโยคที่เกี่ยวข้องกับ  Reported Speech  มีอะไรบ้าง?

🔴 Direct Speech

.....คืออะไร ไม่รู้จัก........

👉🏻การนำคำพูดของผู้อื่นมาพูดแบบตรงๆ

👉🏻ไม่เปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น

🍭จำง่ายๆนะคะ เครื่องหมาย  "........."   นั่นคือ Direct Speech

Example: Adele said, "I work all day "
อเดลพูดว่า "ฉันทำงานทั้งวัน"

🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹

🔴Indirect Speech (Reported Speech)
....อะไรอีกละ มึนตึ๊บเลย.....

👉🏻 การนำคำพูดของผู้อื่นมาเล่าต่อ (เหมือนเรานินทาคนอื่นไงคะ ฮ่าๆ)

👉🏻มีการแปลี่ยนแปลงคำพูดของคนที่เราพูดถึง

 🍭จำง่ายๆ ประโยคIndirect จะไม่มี "......"และไม่มี comma(,)

Example: Adele said she worked all day
อเดลพูดว่าเขาทำงานทั้งวัน
🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹

การเปลี่ยน Direct >Indirect


Step1 :Tense

Step 2 : เปลี่ยนถ้อยคำใกล้>ไกล

ใกล้  เป็น ไกล(ใช้คำซับซ้อนกว่าเดิม)
เปรียบเทียบง่ายๆ เช่น Yesterday
--->the day before

เมื่อวาน---> วันก่อน (วันก่อนวันนี้)
คือมันก็ความหมายเดียวกันจะทำให้งงทำไม เอ้า!!!มันคือกฎก็ตามมันไปค่ะ✌🏻️

   ...โหย! งง สับสนแน่ๆเลย😰
🐸ใจเย็นค่ะ (calm down) มันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากอีกละค่ะ ฮึบๆ ลุย!!


🐠...............🐠..............🐠..........🐠
ข้อตกลงร่วมกัน
Tenseแรก = Direct
Tense ต่อมา= indirect
🐠...............🐠..............🐠..........🐠

1.Simple Present ---->Simple Past


Direct: Adam said, " I'm a doctor ."
อดัมพูดว่า "ฉันเป็นแพทย์"

Indirect: Adam said he was a doctor .
อดัมพูดว่าเขา(ตนเอง)เป็นแพทย์

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

2.Present Progressive --->Past Progressive


Direct: Lani said, "I'm driving a car."
ลานิพูดว่า"ฉันกำลังขับรถอยู่"

Indirect: Lani said (that) she was driving a car.
ลานิพูดว่าตัวเธอเองเนี่ยกำลังขับรถอยู่

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

3.Simple Past -->Past Perfect

Direct: Meay said, " I passed the midterm test "
เหมยพูดว่า, "ฉันสอบกลางภาคผ่าน"

Indirect: Meay said (that) she had passed the midterm test.
เหมยพูดว่าเขา(ตัวเหมยเอง)สอบกลางภาคผ่าน

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

4.Present Perfect -->Past Perfect

Direct: Brian said , " I have eaten dinner."
ไบรอันพูดว่า, " ฉันได้รับประทานอาหารเย็น"

Indirect: Brian said (that) he had eaten  dinner.
ไบรอันพูดว่าเขา(ตัวของไบรอันเอง)ได้รับประทานอาหารเย็น

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

5.Present Perfect Progressive --->Past Perfect Progressive

Direct: Boom  said, " I have been calling Pim  for haft an hour."
บอมพูดว่า,"ฉันได้โทรหาพิมเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว"


Indirect: Boom  said (that) he had calling her for haft an hour.
บอมพูดว่าเขา(ตัวบอมเอง)ได้โทรหาหล่อน(พิม)เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

6.Future (v.to be) +going to--> Was/were going to

Direct:  Jack  said to me " I'm going to play spots at School ."
แจ๊คพูดกับฉันว่า."ฉันจะเล่นกีฬาที่โรงเรียนนะ"

Indirect: Jack told me that he was going to play sports at school.
แจ๊คบอกฉันว่าเขา(ตัวแจ๊คเอง)จะเล่นกีฬาที่โรงเรียนนะ

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

7.Future with will---> Future past form (would)

Direct: Rattana said to me, " My son will go to America Next week."
รัตนาพูดกับฉันว่า."ลูกชายของฉันจะไปอเมริกาอาทิตย์หน้า"

Indirect: Rattana told me that her son would go to America the following week.
รัตนาบอกกับฉันว่าลูกชายของหล่อนจะไปอเมริกาในอาทิตย์ถัดไปนะ

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

8.Can---->Could

Direct: She said, " This girl can speak Chinese."
หล่อนพูดว่า,"เด็กผู้หญิงคนนี้สามารถพูดภาษาจีนได้"

Indirect: She said that girl could speak Chinese.
หล่อนพูดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นพูดภาษาจีนได้

**เปลี่ยนเวลาจากใกล้>ไกล**
[this>that]

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉


9.Must ---> Had to

Direct:  The headmaster  said , " I  must learn English."
ครูใหญ่พูดว่า ,"ฉันต้องเรียนภาษาอังกฤษ"

Indirect: The headmaster said (that) he had to learn English.
ครูใหญ่พูดว่าเขา(ตัวครูใหญ่เอง)ต้องเรียนภาษาอังกฤษ

🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉🎉

ข้อควรจำ!
ถ้อยคำที่พบบ่อยจะอยู่ท้ายประโยค
เมื่อต้องการเปลี่ยน Direct เป็น Indirect (Reported)

today เปลี่ยนเป็น that day

Yesterday เปลี่ยนเป็น the day before

last week เปลี่ยนเป็น the week before

last year เปลี่ยนเป็น the year before

tomorrow เปลี่ยนเป็น the next day

now เปลี่ยนเป็น at that time

next year เปลี่ยนเป็น the year after

here เปลี่ยนเป็น there

this เปลี่ยนเป็น that
.etc.

⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️

เห้อ!!! ยากจังเลย อ่านรอบเดียวไม่เข้าใจ งั้นเราลองทบทวนเรื่อยๆสัก2ครั้ง
ตั้งสติ มีสมาธิ จิตใจจดจ่อ คิดตามสิ่งที่อ่าน ตรงไหนยังติดขัดอ่านวนไปจนเข้าใจห้ามข้าม เพียงเท่านี้คุณก็จะเข้าใจว่ามันง่ายขนาดไหน คุณทำได้ค่ะไม่มีอะไรยากเกินความพยายามของมนุษย์
⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️⚡️

แล้วกลับมาพบกันใหม่ในบทเรียนต่อไปนะคะ. สวัสดีค่ะ🙋🏼

☂☂☂☂☂☂☂☂☂☂☂
      GOOD LUCK EVERYONE